กล้องวงจรปิด

การมองเห็นของกล้องวงจรปิด

การมองเห็นของ กล้องวงจรปิด บางคนไม่ได้ตระหนักถึงความสำคัญของคุณภาพของภาพจาก กล้องวงจรปิด ด้วยการพัฒนาความละเอียดของกล้องวงจรปิด และการทำให้ชิป CCD มีขนาดที่เล็กลง พวกเรากำลังเข้าใกล้ขีดจำกัดของความละเอียดที่แท้จริงของสแกนเนอร์ที่ชิป CCD สามารถทำได้ (Optical Resolution) และเราจำเป็นที่จะต้องรู้บางอย่างมากกว่าช่างเทคนิคโดยทั่วไป บทนี้จะพูดถึงคำศัพท์ที่เกี่ยวกับการมองเห็น แนวคิด และผลิตภัณฑ์ที่ใช้กับ กล้อง CCTV อย่างง่าย

การหักเหของแสง

แนวคิดพื้นฐานแรกที่เราจะต้องเข้าใจนั่นก็คือแนวคิดเกี่ยวกับการหักเหและการสะท้อนของแสง เมื่อลำแสงเดินทางผ่านอากาศหรือสุญญากาศเข้าไปยังตัวกลางที่หนาแน่นกว่า เช่น แก้วหรือน้ำ มันจะลดความเร็วด้วยปัจจัย n (จะมีค่ามากกว่า 1 เสมอ) ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในชื่อดัชนีการหักเห (Index of refraction) ตัวกลางที่แตกต่างกัน (ซึ่งโปร่งใสต่อแสง) มีดัชนีการหักเหที่ไม่เหมือนกัน ยกตัวอย่างเช่น ความเร็วของแสงในอากาศคือ 300,000 km/s (ซึ่งเกือบจะเท่ากับความเร็วของแสงในสุญญากาศ) ถ้าลำแสงผ่านแก้วซึ่งมีค่าดัชนีการหักเห 1.5 ความเร็วของมันจะถูกลดลงมาเหลือเพียงแค่ 200,000 km/s

ตามทฤษฎีคลื่นของแสง การลดลงของความเร็วแสงจะสะท้อนออกมาในรูปแบบของความยาวคลื่นที่สั้นลง ปรากฏการณ์นี้แสดงถึงพื้นฐานของแนวคิดการหักเห ถ้าลำแสงเข้าแก้วในมุมตั้งฉาก ความยาวคลื่น ของลำแสงจะน้อยลง แต่เมื่อลำแสงออกมาจากแก้ว มันจะกลับเข้าสู่ความเร็วตามปกติ คืนสภาพกลับไปมี ความยาวคลื่นเท่าเดิมและเดินทางในทิศทางเดิมต่อไป แต่ถ้าลำแสงเข้าไปยังตัวแก้วในมุมอื่นที่ไม่ใช่มุมตั้งฉากสิ่งที่น่าสนใจจะเกิดขึ้น ลำแสง (ซึ่งถูกพิจารณาว่ามีธรรมชาติของคลื่นในกรณีนี้) จะมีส่วนที่ไม่ได้เข้าไปยังแก้วในเวลาเดียวกันกับลำแสงส่วนอื่น (เนื่องจากเข้าไปด้วยมุมที่ต่างกัน) ส่วนของลำแสงที่เข้าไปยังแก้วก่อนลำแสงส่วนอื่นจะ “ลดความเร็วลง” ก่อน ผลลัพธ์ที่ได้คือการหักเหของลำแสง ลำแสงที่ได้จะไม่เดินทางไปทิศทางเดิมแต่จะเปลี่ยนไปเล็กน้อยขึ้นอยู่กับความหนาแน่นของตัวกลาง ยิ่งตัวกลางหนาแน่นมากเท่าไหร่ ดัชนีการหักเหก็จะสูงมากเท่านั้น ซึ่งยิ่งมีค่าดัชนีการหักเหมาก ลำแสงจะเอียงออกจากทิศทางเดิมมากขึ้นตามไปด้วย

กล้องวงจรปิด กับการเห็นภาพเหมือนจริง

กล้องวงจรปิด กับการเห็นภาพเหมือนจริง สำหรับพวกเราที่ทำงานเกี่ยวกับ กล้องวงจรปิด มันเป็นเรื่องสำคัญมากที่ต้องรู้ว่าดวงตาของมนุษย์ทำงานอย่างไร และ ตามที่จะทำการอธิบายในช่วงต่อไปของหนังสือ เราจะใช้ความผิดปกติของสายตามนุษย์เพื่อที่จะทำการ “โกง” สมองให้คิดว่าเราเห็น “ภาพเคลื่อนไหว” ความผิดปกตินี้คือการเห็นภาพติดตาของสายตามนุษย์

การเห็นภาพติดตาเป็น “ความผิดปกติของดวงตา” ซึ่งถูกนำไปใช้ในวงการภาพยนตร์ และ โทรทัศน์ที่สำคัญที่สุด ตาจะไม่ตอบสนองต่อความเปลี่ยนแปลงในความเข้มข้นของแสงโดยทันที มันจะมีความล่าช้าไม่กี่หนึ่งในพันของหนึ่งวินาที (millisecond) สำหรับการรับข้อมูลของวัตถุที่เรากำลังมองอยู่โดยสมอง ความล่าช้านี้จะเพิ่มขึ้นเมื่อวัตถุมีการส่องสว่างมากขึ้น ไม่ใช่ทุกส่วนของ retina ที่จะเห็นภาพติดตาเท่ากัน บริเวณส่วนกลางของ fovea (บริเวณบนretina ที่มีเซลล์รูปกรวย) จะมีภาพติดตานานกว่า การเห็นภาพติดตา ยังขึ้นอยู่กับคุณสมบัติทางสเปกตรัมของแหล่งต้นกำเนิดของแสง ได้แก่สี และ ความสว่าง

ความผิดปกติของดวงตาในข้างต้นเป็นสิ่งที่สำคัญต่อแนวคิดของภาพยนตร์มาก ซึ่งจะเห็นได้ในกราฟในหน้าต่อไป การเห็นติดตาจะขึ้นอยู่กับความเข้มข้นของแสง หรือ ความสว่างของพื้นที่ที่กำลังมองอยู่ ยิ่งสว่างมากขึ้นเท่าไหร่ เรายิ่งต้องเปลี่ยนภาพให้เร็วขึ้นเท่านั้นถ้าไม่ให้เกิดการกระพริบของภาพ ภาพยนตร์เรื่องแรกในช่วงต้นของศตวรรษที่ 20, การ์ตูน หรือ สมุดดีด (Flipping book) ที่เราเคยเล่นเมื่อยังเป็นเด็กนั้นก็ใช้แนวคิดเรื่องการเห็นภาพติดตา

เมื่อภาพได้เรียงลำดับอย่างสมเหตุสมผลในความเร็วที่เท่ากับ หรือ เร็วกว่าภาพที่ติดอยู่ในสายตา เราจะเห็นภาพที่เคลื่อนไหวถึงแม้ว่าที่จริงแล้วรูปที่เราเห็นจะเป็นภาพนิ่ง

กล้องถ่ายภาพยนตร์จะบันทึกภาพด้วยความเร็ว 24 รูปภาพ/วินาที ซึ่งส่วนใหญ่มันจะเพียงพอสำหรับภาพยนตร์ที่จะฉายด้วยเครื่องฉายที่มีความเข้มข้นของแสงน้อย เนื่องจากในช่วงต้นของการปฏิวัติภาพยนตร์ เพื่อให้เข้าถึงผู้คนมากขึ้น เครื่อง Projector ที่ใหญ่ และ ดีขึ้นเป็นที่ต้องการ เช่นเดียวกับหน้าจอที่สว่างมากขึ้น (แบบที่เราใช้อยู่ในปัจจุบัน) จึงเป็นที่ชัดเจนว่าความเร็ว 24 รูปภาพ/วินาทีที่กล้องถ่ายภาพยนตร์มีในตอนแรกไม่เพียงพอแล้ว

กล้องวงจรปิด กับการเห็นภาพติดตา จากมุมมองของการถ่ายรูป ซึ่งมีความคล้ายกับการถ่ายทำภาพยนตร์ มันไม่สะดวกที่จะเพิ่มframe rate ของกล้องถ่ายทำภาพยนตร์ให้สูงกว่า 24 รูปภาพ/วินาที เพราะว่าเวลาที่ผู้ชมจะเห็นภาพในแต่ละเฟรมจะลดน้อยลง เพื่อให้บรรลุเป้าหมายนั้น ภาพยนตร์ต้องมีค่า sensitivity ที่สูงขึ้น ซึ่งจะทำให้มีเม็ดสีที่ไม่ต้องการ (grain) ในภาพยนตร์มากขึ้น หรือ ม่านรับแสงของเลนส์ต้องเปิดกว้างขึ้น ส่งผลให้ได้ภาพได้ดูไม่ค่อยดีเมื่อมีระดับแสงน้อย รวมถึงลดความชัดลึก (Depth of field) ของภาพด้วย

ทั้งสองวิธีที่แนะนำมาในข้างต้นไม่ใช่สิ่งที่คนทำภาพยนตร์จะยอมรับได้ ดังนั้นวิธีแก้ปัญหาจึงเป็นการเพิ่มความถี่ในการฉายภาพยนตร์ (ไม่ใช้การถ่ายทำ) จาก 24 เป็น 48 รูปภาพ/วินาที ด้วยการออกแบบที่ เรียบง่ายแต่ชาญฉลาด สิ่งที่กล่าวมาสามารถทำได้ด้วยสิ่งที่เรียกว่า Maltese Cross shutter ซึ่งเป็นใบมีดที่ทำออกมาให้มีรูปร่างตาม Maltese Cross ของประเทศมอลตา ใบมีดนี้จะหมุนอยู่หน้าหลอดไฟเครื่องฉาย พร้อมกับบังแสงเมื่อภาพยนตร์เปลี่ยนจากเฟรมก่อนหน้าไปยังเฟรมต่อไป (เพื่อไม่ให้ผู้ชมเห็นเส้นสีดำระหว่างแต่ละเฟรม) แต่ยังขัดขวางการฉายในขณะที่เฟรมยังไม่เปลี่ยน (เป็นะระยะเวลา 1/24 วินาที) และ ฉายภาพจากเฟรมเดียวกัน 2 ครั้ง ทำให้ได้ภาพยนตร์ที่ฉายออกมา 48 เฟรม/วินาที ซึ่งเป็นอัตราที่ทำให้ไม่เกิดการกระพริบในการมองเห็น เป็นที่ชัดเจนว่ามีรูปที่แตกต่างกันเพียงแค่ 24 รูปที่ถูกบันทึกไว้ต่อวินาที แต่ Maltese Cross shutter จะฉายภาพที่เหมือนกัน และ สมองของเราจะเห็นภาพเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องที่ไม่มีการกระพริบ

โทรทัศน์จะใช้หลักการ การเห็นภาพติดตา แบบเดียวกันเพื่อลวงสายตาของคนดูให้เห็นเป็นภาพเคลื่อนไหวโดยใช้เทคนิค Interlaced Scanning (การสแกนแบบเส้นเว้นเส้น) ความแตกต่างในส่วนของแนวคิดอยู่ที่การประกอบรูปภาพโดยไม่ใช้เครื่อง Projector ผ่านฟิล์มเซลลูลอยด์แต่ใช้เทคนิค electronic scanning บนหน้าจอ CRT ในวงการโทรทัศน์ภาพนิ่งจะถูกสร้างโดยการสแกน (Scanning) ซึ่งภาพจะถูกสร้างขึ้นมาทีละบรรทัดในลักษณะเดียวกันกับการอ่านหนังสือจากซ้ายไปขวา และ บนลงล่าง หลักการเหล่านี้จะถูกอธิบายในช่วงต่อไปของหนังสือ

มันสำคัญสำหรับผู้อ่านที่จะเข้าใจว่าโทรทัศน์จะฉายภาพนิ่งซึ่งจะถูกฉายอย่างรวดเร็วจนกลายเป็น “ภาพเคลื่อนไหว” ไม่ว่าผลลัพธ์นี้จะได้มาโดยการสแกนแบบ interlaced หรือ progressive ไม่ใช่สิ่งที่สำคัญในตอนนี้ แต่เราควรจะที่รู้ว่าเทคโนโลยีทางโทรทัศน์ในปัจจุบันนี้ยังสามารถพัฒนา “กล” สำหรับการสร้างภาพลวงตาว่าเป็นภาพเคลื่อนไหวยังสามารถพัฒนาให้ดีขึ้นกว่านี้ได้อีก

กล้องวงจรปิด กับการเห็นภาพติดตา ในโลกปัจจุบันมีระบบโทรทัศน์พื้นฐาน 3 ระบบที่มีจำนวนรูปภาพต่อวินาที, จำนวนแถวที่ใช้ในการประกอบรูปภาพ และ วิธีการเข้ารหัสสีที่แตกต่างกัน แต่ทั้ง 3 มาตรฐานมีแนวคิดในการสร้างภาพเคลื่อนไหวที่เหมือนกัน

PAL: 625 เส้นที่ทำการสแกน (canning lines)/50 รูปที่สอดประสาน (Interlaced)/วินาที

NTSC: 525 เส้นที่ทำการสแกน (Scanning lines)/60 รูปที่สอดประสาน (Interlaced)/วินาที

SECAM: 625 เส้นที่ทำการสแกน (Scanning lines) (เคยเป็น 829 เส้น)/ 50 รูปที่สอดประสาน (Interlaced)/วินาที

ถึงแม้ว่าตัวเลขของเส้นที่ทำการสแกน และ รูปภาพต่อวินาทีจะต่างกัน แนวคิดทั่วไปยังเหมือนกันในมุมมองของการสร้างรูปภาพเส้นต่อเส้น และ สแกนมันด้วยความเร็วสูงเพื่อใช้ประโยชน์จากแนวคิดการเห็นภาพ ติดตาเหมือนกับภาพยนตร์

มาตรฐาน NTSC (National Television Systems Committee) 525 เส้น 30 เฟรมต่อวินาทีมักจะพบแถบสหรัฐอเมริกา, แคนาดา, กรีนแลนด์, เม็กซิโก, คิวบา, ปานามา, ญี่ปุ่น , ฟิลิปปินส์, เปอร์โตริโก และ ทวีปอเมริกาใต้ ในตอนแรกมาตรฐาน NTSC ถูกพัฒนาขึ้นมาสำหรับโทรทัศน์ขาวดำ (monochrome) ในปีค.ศ. 1941 ระบบการถ่ายทอดทางโทรทัศน์แบบสีถูกนำมาใช้ครั้งแรกในประเทศสหรัฐอเมริกาเมื่อปีค.ศ. 1953

ประเทศที่เหลืออีกมากกว่าครึ่งหนึ่งบนโลกจะใช้มาตรฐาน PAL (Phase Alternating Line) ที่มีเส้น 625 เส้น 25 เฟรมต่อวินาที หรือ มาตรฐาน SECAM (Sequential Couleur Avec Memoire หรือ Sequential Color with Memory)

มาตรฐาน PAL ได้ถูกเปิดตัวในช่วงต้นคริสต์ทศวรรษที่ 1960 และ ถูกนำไปใช้ในประเทศในทวีปยุโรปส่วนใหญ่  , ออสเตรเลีย, นิวซีแลนด์, จีน, อินเดีย, ประเทศส่วนใหญ่ในทวีปแอฟริกา และ แถบตะวันออกกลาง มาตรฐาน PAL จะมีช่อง bandwidth ที่กว้างกว่ามาตรฐาน NTSC ซึ่งทำให้มีภาพที่ได้มีคุณภาพดีกว่า อีกทั้งการเข้ารหัสสีในมาตรฐาน PAL ยังถูกออกแบบหลังจากการเปิดตัวของมาตรฐาน NTSC ทำให้สร้างสีได้ถูกต้องแม่นยำกว่า และ ป้องกันจุดสีรบกวนได้ดีกว่ามาตรฐาน NTSC

มาตรฐาน SECAM ได้ถูกเปิดตัวในช่วงต้นยุค 1960 และ ถูกนำมาใช้ในประเทศฝรั่งเศส, บางส่วนของทวีปยุโรป รวมถึงประเทศที่เคยเป็นสหภาพโซเวียต มาก่อน และ ประเทศใกล้เคียง เส้นที่เพิ่มขึ้นมาอีก 100 เส้นในมาตรฐาน SECAM และ PAL เป็นการเพิ่มรายละเอียดที่สำคัญ และ ความคมชัดให้กับภาพ แต่การมี 50 รูปภาพต่อวินาที (เทียบกับ 60 รูปภาพต่อวินาทีของระบบ NTSC) หมายความว่าเราจะสังเกตเห็นการกระพริบของภาพเล็กน้อย เป็นที่น่าสนใจว่าประเทศรัสเซียใช้ระบบ SECAM ในการถ่ายทอดภาพทาง TV แต่ใช้ระบบ PAL ในอุตสาหกรรมกล้องวงจรปิด

เนื่องด้วยการมาของมาตรฐานใหม่สำหรับโทรทัศน์ดิจิตอล (DTV) มันเป็นไปได้ที่จะมีทั้ง interlaced และ progressive scanning อยู่ด้วยกัน ซึ่งมักจะถูกตั้งชื่อว่า ” I ” หรือ “P” และ นำไปวางข้างมาตรฐานที่มีอยู่ อย่างเช่น “1080i” หมายถึงโทรทัศน์แบบ High Definition (HD) ที่มี 1,920 x 1,080 พิเซล และ การสแกนแบบ interlaced

การเลือกจอ MONITOR ใช้สำหรับดู กล้องวงจรปิด

โดยทั่วไปแล้วจอภาพ หรือ จอ MONITOR ที่เราใช้กับกล้องวงจรปิดได้ถูกแบ่งเป็น 3 ประเภทด้วยกัน คือ  จอ CRT, จอ LCD และ จอ LED

จอ CRT (Cathode Ray Tube): การทำงานจะเหมือนจอโทรทัศน์รุ่นเก่า มีด้านหลังที่ยื่นออกไปเพราะใช้การฉายแสงอิเล็กตรอนของหลอดภาพในการแสดงผล และในการยิงแสงแต่ละครั้งจำเป็นต้องใช้เวลาจึงทำให้เราเห็นภาพที่ไม่นิ่งหรือดูเหมือนสั่นตลอดเวลา ซึ่งอาจส่งผลให้ผู้ใช้ปวดตาได้ แสงที่เกิดขึ้นนั้นจะเป็นสีแดง เขียว และน้ำเงิน เนื่องจากการผสมสามสีเหล่านี้จึงทำให้เกิดเป็นสีต่าง ๆ บนจอภาพที่เราเห็น สำหรับความละเอียดของภาพนั้นมีหน่วยเป็น Pixel’ หรือจุดของการแสดงผล หากมีจำนวนมากก็จะทำให้ภาพมีความชัดเจนมากขึ้น การทำงานดังกล่าวนั้นทำให้เกิดความร้อนเพราะต้องใช้พลังงานสูงมาก อีกทั้งหน้าจอยังมีขนาดใหญ่ มีน้ำหนักมาก และยังมีรังสีแผ่กระจายออกมา จึงทำให้เกิดการคิดค้นและพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ส่งผลให้เกิดการยกเลิกการผลิตจอแบบ CRT ไปในที่สุด

              จอ LED (Light Emitting Diode): ได้รับการพัฒนาต่อจากเทคโนโลยี LCD โดยมีหลักการทำงานในรูปแบบเดียวกัน แต่ว่าเอาหลอด LED ซึ่งเป็นหลอดขนาดเล็กมาใช้ในการส่องแสงแทนการใช้หลอดไฟแบบ LCD จึงทำให้ประหยัดไฟมากกว่าเกิดความร้อนน้อยกว่าสามารถที่จะพัฒนาการเชื่อมต่อสัญญาณภาพได้ และ สามารถใช้งานในรูปแบบ 3ได้ ปัจจัยเหล่านี้ทำให้ผู้ใช้เลือกที่จะใช้จอภาพที่ทำจาก LED มากกว่าจอ LCD

จอ LCD (Liquid Crystal Display): ทำงานโดยใช้ผลึกของเหลวกึ่งของแข็งในการแสดงภาพและใช้หลอดไฟในการส่องแสงสว่างให้กับจอ ทำให้เราเห็นภาพต่าง ๆ ที่มีความละเอียดยิ่งขึ้น แต่หน้าจอ LCD ก็มีข้อจำกัดอย่างเช่น การมองไม่ถูกมุมซึ่งอาจจะทำให้สีที่เราเห็นนั้นผิดเพี้ยนไปหรือเกิดภาพไม่ชัดในบางมุม และการแสดงผลของจอ LCD ที่ช้ากว่าจอ CRT ทั้งนี้จอ LCD ได้รับความนิยม เนื่องจากไม่แผ่รังสี ใช้ความร้อนและพลังงานน้อยกว่า และมีขนาดที่เล็กกว่าจอ CRT

กล้องวงจรปิด คือ อะไร

กล้องวงจรปิด ( CCTV ) ยังเป็นที่รู้จักกันในการเฝ้าระวังวิดีโอ , คือการใช้กล้องวิดีโอเพื่อส่งสัญญาณไปยังสถานที่เฉพาะในชุด จำกัด ของจอภาพ มันแตกต่างจากการออกอากาศโทรทัศน์ในสัญญาณที่ไม่ได้เปิดเผยเปิดเผยแม้ว่ามันอาจใช้ชี้ไปที่จุด (P2P) ชี้ไปที่ multipoint (P2MP) หรือตาข่ายสายหรือไร้สายเชื่อมโยง แม้ว่ากล้องวิดีโอเกือบทั้งหมดจะตรงกับคำจำกัดความนี้คำที่ใช้บ่อยที่สุดสำหรับผู้ที่ใช้ในการเฝ้าระวังในพื้นที่ที่อาจต้องการการตรวจสอบเช่นธนาคารร้านค้าและพื้นที่อื่น ๆ ที่ต้องการความปลอดภัย แม้ว่าVideotelephonyไม่ค่อยเรียกว่า "CCTV" ข้อยกเว้นประการหนึ่งคือการใช้วิดีโอในการศึกษาทางไกลซึ่งเป็นเครื่องมือที่สำคัญ

การเฝ้าระวังการใช้กล้องวงจรปิดโดยทั่วไปเป็นเรื่องปกติในหลายพื้นที่ทั่วโลก ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาการใช้กล้องวิดีโอที่สวมใส่ร่างกายได้รับการแนะนำว่าเป็นรูปแบบใหม่ของการเฝ้าระวังซึ่งมักใช้ในการบังคับใช้กฎหมายโดยมีกล้องอยู่บนหน้าอกหรือหัวของเจ้าหน้าที่ตำรวจ การเฝ้าระวังวิดีโอได้สร้างการถกเถียงอย่างมีนัยสำคัญเกี่ยวกับการปรับสมดุลการใช้งานด้วยสิทธิส่วนบุคคลของบุคคลธรรมดาแม้ในที่สาธารณะ

ในโรงงานอุตสาหกรรมอุปกรณ์กล้องวงจรปิดอาจใช้สังเกตชิ้นส่วนของกระบวนการจากห้องควบคุมกลางตัวอย่างเช่นเมื่อสภาพแวดล้อมไม่เหมาะสำหรับมนุษย์ ระบบกล้องวงจรปิดอาจทำงานได้อย่างต่อเนื่องหรือเฉพาะตามที่ต้องการเพื่อตรวจสอบเหตุการณ์เฉพาะ รูปแบบขั้นสูงของกล้องวงจรปิดใช้เครื่องบันทึกวิดีโอดิจิตอล (DVR) ทำให้สามารถบันทึกเป็นเวลาหลายปีโดยมีตัวเลือกคุณภาพและสมรรถนะที่หลากหลายและคุณสมบัติพิเศษ (เช่นการตรวจจับการเคลื่อนไหวและการแจ้งเตือนทางอีเมล) เมื่อไม่นานมานี้กล้อง IPแบบกระจายอำนาจบางตัวมีเซ็นเซอร์ล้านพิกเซลสนับสนุนการบันทึกข้อมูลโดยตรงไปยังอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลที่เชื่อมต่อกับเครือข่ายหรือแฟลชภายในสำหรับการทำงานแบบ สแตนด์อะโลน

มีประมาณ 350 ล้านกล้องวงจรปิดทั่วโลกในปีพ. ศ. 2563 ประมาณ 65% ของกล้องเหล่านี้ได้รับการติดตั้งในเอเชีย การเติบโตของ CCTV ได้รับการชะลอตัวในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

เทคโนโลยี

ระบบเฝ้าระวังวิดีโอที่เก่าแก่ที่สุดเกี่ยวข้องกับการตรวจสอบอย่างต่อเนื่องจากไม่มีวิธีบันทึกและจัดเก็บข้อมูล การพัฒนาสื่อรีลเพื่อรีลทำให้สามารถบันทึกภาพวิดีโอจากการเฝ้าระวังได้ ระบบเหล่านี้จำเป็นต้องมีการเปลี่ยนเทปแม่เหล็กด้วยตัวเองซึ่งเป็นกระบวนการที่ต้องเสียเวลามีราคาแพงและไม่น่าเชื่อถือโดยผู้ดำเนินการต้องด้ายเทปจากเทปรีลโดยอัตโนมัติผ่านเครื่องบันทึกลงบนรีลที่ใช้แล้วเปล่า เนื่องจากข้อบกพร่องเหล่านี้การเฝ้าระวังวิดีโอไม่เป็นที่แพร่หลาย เทคโนโลยี VCR เริ่มใช้งานได้ในปี 1970 ทำให้ง่ายต่อการบันทึกและลบข้อมูลและการใช้การเฝ้าระวังวิดีโอกลายเป็นเรื่องปกติมากขึ้น

ในช่วงทศวรรษที่ 1990 ดิจิตอลมัลติเพล็กซ์ ซิ่งได้รับการพัฒนาขึ้นทำให้กล้องหลายตัวสามารถบันทึกได้พร้อมกันรวมทั้งการบันทึกภาพเคลื่อนไหวและเวลาเท่านั้น การประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายนี้ทำให้ประหยัดเวลาในการใช้กล้องวงจรปิด

ล่าสุดเทคโนโลยีกล้องวงจรปิดได้รับการปรับปรุงด้วยการเปลี่ยนไปสู่ผลิตภัณฑ์และระบบอินเทอร์เน็ตและการพัฒนาด้านเทคโนโลยีอื่น ๆ

แอพพลิเคชั่น

โทรทัศน์วงจรปิดที่ใช้สำหรับการชกมวยอาชีพเป็นรูปแบบของการจ่ายเงินต่อการดู โทรทัศน์โรงละคร การออกอากาศมวยสากลถูกถ่ายทอดสดไปยังสถานที่จัดงานที่ได้รับการคัดเลือกจำนวนมากโรงภาพยนตร์ส่วนใหญ่ผู้ชมจ่ายเงินเพื่อดูการต่อสู้สด การต่อสู้ครั้งแรกที่มีการแพร่ภาพวงจรปิดเป็นโจหลุยส์กับโจ วงจรปิดแหลมในความนิยมกับมูฮัมหมัดอาลีในปี 1960 และ Thrilla ในกรุงมะนิลา " วาดภาพ ผู้ชมกล้องวงจรปิดทั่วโลกในปีพ. ศ. 2518 จำนวน100 ล้านคนโทรทัศน์วงจรปิดถูกแทนที่โดยค่อยๆถูกแทนที่ด้วยการจ่ายต่อการชมเคเบิลทีวีบ้านในยุค 80 และยุค 90

การป้องกันอาชญากรรม

ป้ายเตือนว่าสถานที่ถูกเฝ้าดูโดยกล้องวงจรปิด

การทบทวนอย่างเป็นระบบในปี พ.ศ. 2552 โดยนักวิจัยจากNortheastern UniversityและUniversity of Cambridge ได้ใช้เทคนิคmeta-analyticเพื่อรวบรวมผลกระทบโดยเฉลี่ยของกล้องวงจรปิดเกี่ยวกับอาชญากรรมในการศึกษา 41 เรื่อง ผลการวิจัยระบุว่า

1.             CCTV ทำให้เกิดการลดอาชญากรรมโดยเฉลี่ยประมาณ 16%

2.             ผลกระทบที่ใหญ่ที่สุดของกล้องวงจรปิดพบในที่จอดรถซึ่งกล้องลดการเกิดอาชญากรรมโดยเฉลี่ย 51%

3.             โครงการ CCTV ในสถานที่สาธารณะอื่น ๆมีผลกระทบที่มีนัยสำคัญทางอาญาน้อยและไม่สำคัญทางสถิติ : การลดศูนย์เมืองและเมืองในเมืองลดลง 7% และการตั้งค่าการขนส่งสาธารณะลดลง 23%

4.             เมื่อจัดเรียงตามประเทศระบบในสหราชอาณาจักรคิดเป็นส่วนใหญ่ของการลดลง; การลดลงในพื้นที่อื่น ๆ ไม่มีนัยสำคัญ

การศึกษาที่รวมอยู่ในการวิเคราะห์เมตาได้ใช้แบบประเมินการทดลองกึ่งทดลองที่เกี่ยวข้องกับมาตรการก่อนและหลังของอาชญากรรมในพื้นที่ทดลองและการควบคุม อย่างไรก็ตามนักวิจัยหลายคนชี้ให้เห็นถึงปัญหาระเบียบวิธีการที่เกี่ยวข้องกับงานวิจัยนี้ ประการแรกนักวิจัยได้แย้งว่าการศึกษาในที่จอดรถของอังกฤษซึ่งรวมอยู่ในการวิเคราะห์เมตาไม่สามารถควบคุมได้อย่างถูกต้องเนื่องจากกล้องวงจรปิดถูกนำมาใช้ร่วมกับมาตรการรักษาความปลอดภัยอื่น ๆ ประการที่สองมีบางคนตั้งข้อสังเกตว่าในหลายการศึกษาอาจจะมีปัญหาเกี่ยวกับการเลือกอคติตั้งแต่การแนะนำของกล้องวงจรปิดก็อาจเกิดขึ้นภายนอกกับแนวโน้มการเกิดอาชญากรรมก่อนหน้านี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลกระทบโดยประมาณอาจมีความลำเอียงถ้ากล้องวงจรปิดถูกนำมาใช้เพื่อตอบสนองต่อแนวโน้มอาชญากรรม

มันได้รับการถกเถียงกันอยู่ว่าปัญหาของการมีอคติเลือกและการ endogeneity สามารถแก้ไขโดยการออกแบบการวิจัยที่แข็งแกร่งเช่นการทดลองแบบสุ่มควบคุมและการทดลองทางธรรมชาติ การทบทวนในปีพ. ศ. 2560 ตีพิมพ์ในวารสาร Scandinavian Studies in Criminology and Crime Preventionรวบรวมการศึกษาเจ็ดชิ้นที่ใช้การออกแบบการวิจัยดังกล่าว การศึกษาที่รวมอยู่ในการตรวจสอบพบว่ากล้องวงจรปิดลดอาชญากรรมลงได้ 24-28% ในถนนสาธารณะและสถานีรถไฟใต้ดินในเมือง นอกจากนี้ยังพบว่ากล้องวงจรปิดสามารถลดพฤติกรรมที่ไม่เกี่ยงในสนามฟุตบอลและการโจรกรรมในซุปเปอร์มาร์เก็ต / ร้านค้าร้านค้าทั่วไป อย่างไรก็ตามไม่มีหลักฐานว่ากล้องวงจรปิดมีผลดีในสถานที่จอดรถหรือสถานีรถไฟใต้ดินชานเมือง นอกจากนี้การตรวจสอบระบุว่ากล้องวงจรปิดมีประสิทธิภาพในการป้องกันอาชญากรรมที่มีค่ามากกว่าอาชญากรรมรุนแรง

คำถามอีกประการหนึ่งในเรื่องประสิทธิภาพของกล้องวงจรปิดในการรักษาคือช่วงเวลาที่ระบบทำงานอยู่ ในปี 2013 City of Philadelphia Auditor พบว่าระบบ $ 15M มีการดำเนินงานเพียง 32% ของเวลา ยังมีงานวิจัยที่ต้องทำเพื่อตรวจสอบประสิทธิภาพของกล้องวงจรปิดในการป้องกันอาชญากรรมก่อนที่จะสามารถสรุปผลได้

มีหลักฐานพอสมควรว่ากล้องวงจรปิดช่วยในการตรวจจับและความเชื่อมั่นของผู้กระทำความผิด กองกำลังตำรวจของสหราชอาณาจักรมักจะหากล้องวงจรปิดที่บันทึกไว้หลังจากที่มีการก่ออาชญากรรม นอกจากนี้กล้องวงจรปิดมีบทบาทสำคัญในการติดตามการเคลื่อนไหวของผู้ต้องสงสัยหรือผู้ที่ตกเป็นเหยื่อและได้รับการยกย่องอย่างกว้างขวางโดยเจ้าหน้าที่ antiterrorist เป็นเครื่องมือพื้นฐานในการติดตามผู้ต้องสงสัยก่อการร้าย การติดตั้งระบบกล้องวงจรปิดขนาดใหญ่ถือเป็นส่วนสำคัญในการป้องกันการก่อการร้ายตั้งแต่ปีพศ. กล้องถ่ายรูปยังได้รับการติดตั้งบนระบบขนส่งสาธารณะด้วยความหวังในการยับยั้งอาชญากรรมและในรถตำรวจเฝ้าระวังมือถือมักจะมีระบบจดจำหมายเลขอัตโนมัติและเครือข่ายของกล้อง APNI ที่เชื่อมต่ออยู่โซนชาร์จแออัดของกรุงลอนดอน ถึงแม้จะมีความเป็นปรปักษ์ทางการเมืองในการเฝ้าระวังและนักวิจารณ์หลายคนก็มองข้ามหลักฐานของประสิทธิภาพของกล้องวงจรปิดโดยเฉพาะอย่างยิ่งในสหรัฐอเมริกา อย่างไรก็ตามการยืนยันส่วนใหญ่เหล่านี้ใช้วิธีการที่ไม่ดีหรือการเปรียบเทียบที่ไม่สมบูรณ์

คำถามที่เปิดกว้างมากก็คือว่ากล้องวงจรปิดส่วนใหญ่มีประสิทธิภาพหรือไม่ แม้ว่าชุดภายในประเทศที่มีคุณภาพต่ำราคาถูกติดตั้งและบำรุงรักษากล้องวงจรปิดความคมชัดสูงราคาแพง  Gill และ Spriggs ได้ทำการวิเคราะห์ต้นทุนประสิทธิผล (CEA) ของกล้องวงจรปิดในการป้องกันอาชญากรรมซึ่งแสดงให้เห็นถึงการประหยัดเงินด้วยการติดตั้งกล้องวงจรปิดเนื่องจากการก่ออาชญากรรมส่วนใหญ่ทำให้เกิดการสูญเสียทางการเงินเพียงเล็กน้อย นักวิจารณ์ แต่ตั้งข้อสังเกตว่าผลประโยชน์ของค่าที่ไม่ใช่ตัวเงินไม่สามารถจับภาพในการวิเคราะห์ต้นทุนประสิทธิผลแบบดั้งเดิมและถูกมองข้ามจากการศึกษาของพวกเขา 2008 รายงานโดยหัวหน้าตำรวจสหราชอาณาจักรสรุปได้ว่าเพียง 3% ของอาชญากรรมได้รับการแก้ไขโดยกล้องวงจรปิด ในกรุงลอนดอนตำรวจนครบาลรายงานระบุว่าในปีพ. ศ. 2551 มีการแก้ปัญหาเพียงหนึ่งครั้งต่อหนึ่งพันกล้อง ในบางกรณีกล้องวงจรปิดกลายเป็นเป้าหมายของการโจมตีด้วยตัวเอง

เมืองต่าง ๆ เช่น Manchester ในสหราชอาณาจักรใช้เทคโนโลยีDVRเพื่อปรับปรุงการเข้าถึงสำหรับการป้องกันอาชญากรรม

ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2552 มีการประกาศใช้เว็บไซต์ "Internet Eyes" ซึ่งจะจ่ายเงินให้กับสมาชิกเพื่อชมภาพกล้องวงจรปิดจากบ้านของพวกเขาและรายงานการก่ออาชญากรรมที่พวกเขาได้เห็น เว็บไซต์นี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อเพิ่ม "ดวงตา" ให้กับกล้องซึ่งอาจไม่ได้รับการตรวจสอบอย่างเพียงพอ ผู้รณรงค์เสรีภาพเสรีภาพวิพากษ์วิจารณ์แนวคิดว่า "การพัฒนาที่น่ารังเกียจและน่าเป็นห่วง"

 

เลนส์กล้องวงจรปิด และระยะชัดลึก

เลนส์กล้องวงจรปิด เมื่อโฟกัสไปยังวัตถุ ในทางทฤษฎีแล้วพื้นระนาบทั้งหมดที่ผ่านวัตถุและแนวตั้งฉาก ควรจะอยู่ในโฟกัส ของกล้องวงจรปิด

ในทางปฏิบัติแล้ว วัตถุที่อยู่ข้างหน้าและข้างหลังวัตถุในโฟกัสเล็กน้อยจะดูคมชัดมากขึ้น ความคมชัดที่ “เพิ่มขึ้น” นี้จะถูกเรียกว่าระยะชัดลึก

ระยะชัดลึกที่กว้างอาจจะเป็นคุณสมบัติที่เราไม่ต้องการ อย่างเช่น เมื่อเราต้องการวัตถุที่เราถ่ายรูปอยู่ให้แยกออกมาจากพื้นหน้าและพื้นหลัง นี่เป็นคุณสมบัติเมื่อถ่ายในแนวตั้งพร้อมกับเลนส์ เมื่อระยะชัดลึกแคบมาก

กล้องวงจรปิด เราต้องการผลกระทบที่ตรงกันข้าม เราต้องการให้มีวัตถุที่อยู่ในโฟกัสให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไม่ว่าระนาบของการโฟกัส ที่แท้จริงจะอยู่ที่ไหน

ระยะชัดลึกจะขึ้นอยู่กับทางยาวโฟกัสของเลนส์ตัวนั้น ค่า F-stop และรูปแบบขนาดของเลนส์ (เช่น 2/3 นิ้ว, 1/2 นิ้ว เป็นต้น) กฎทั่วไปนั่นก็คือยิ่งทางยาวโฟกัสสั้นลง ระยะชัดลึกจะยิ่งกว้างขึ้นเท่านั้น ค่า F-stop สูงขึ้นเท่าไหร่ ระยะชัดลึกจะกว้างขึ้นตาม และรูปแบบขนาดของเลนส์เล็กลงเท่าไหร่ ระยะชัดลึกจะขยายมากขึ้นตาม

ผลกระทบของระยะชัดลึกจะถูกอธิบายได้ด้วย circles of confusion (จุดหรือวงกลมที่สายตาคนแยกไม่ออก เนื่องจากเลนส์ถ่ายทอดจุดให้เป็นภาพของจุดได้เพียงแค่ระนาบเดียว) ที่ยอมรับได้ circle of confusion ที่ยอมรับได้คือวงกลมที่ถูกฉายถึงระยะชัดลึกของพื้นที่ ถ้าส่วนที่เล็กที่สุดของรูปภาพ (พิกเซล) ของชิป CCD จะเท่ากับหรือมากกว่า circle of confusion ที่ยอมรับได้ หลังจากนั้นไปแล้วเราจะมองไม่เห็นรายละเอียดที่เล็กกว่าวงกลมนั้น ในอีกมุมหนึ่ง วัตถุและรายละเอียดของมนทั้งหมดที่ปรากฏอยู่ในวงกลมจะดูคมชัดเท่ากัน

เนื่องจากนั่นคือขนาดที่แท้จริงของพิกเซล จากประเด็นที่กล่าวมา ขนาดของ circle of confusion ที่ยอมรับได้สำหรับกล้องวงจรปิดจะถูกกำหนดด้วยขนาดของพิกเซลของชิป CCD หรือก็คือความละเอียดของชิป

มันอาจจะเข้าใจได้ว่าทำไมเลนสำหรับกล้อง CCTV ที่มีทางยาวโฟกัสสั้น เช่น 2.6 – 3.5 mm ไม่มีวงแหวนปรับความคมชัด (focusing ring) มีเพียงแค่การปรับม่านรับแสง นี่เป็นเพราะว่าเมื่อค่า F-stop ของเลนส์ถูกปรับให้อยู่ต่ำที่สุด (ไม่ว่าจะเป็น 1.4 หรือ 1.8 ก็ตาม) ระยะชัดลึกจะกว้างมากจนมันแสดงภาพที่ดูคมชัดจากระยะต่อหน้าเลนส์ไม่กี่เซนติเมตรไปจนถึงระยะที่เป็นอนันต์ (infinity) จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องทำการโฟกัสเลย

ระยะชัดลึกเป็นสิ่งที่เราต้องตระหนักถึงเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะเมื่อทำการกำหนดให้โฟกัสไปที่ด้านหลัง ถ้าการโฟกัสด้านหลังไม่ได้ถูกปรับอย่างเหมาะสมและเป็นช่วงกลางวัน (นี่จะเป็นช่วงเวลาที่ม่านรับแสงของเลนส์จะเปิดแคบที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้โดยอัตโนมัติ เนื่องจากมีปริมาณแสง มากเกินไป) ระยะชัดลึกจะสร้างความคมชัดแม้แต่ในพื้นที่ที่ไม่ได้อยู่ในโฟกัส ซึ่งประเด็นนี้จะถูกอธิบายเพิ่มเติมในภายหลัง

 

กล้องวงจรปิดแบบ IP CAMERA คือ อะไร

       IP Camera (Internet Protocol Camera) คือ กล้องวงจรปิดที่รวมเอา คุณสมบัติของ Web Server ไว้ในตัวกล้อง (คล้ายกับเป็นการนำเอาความสามารถบางส่วนของเครื่องคอมพิวเตอร์บรรจุลงไปในตัวกล้องวงจรปิด) เพื่อให้สามารถ ดูภาพสดบนระบบ internet หรือ ระบบเครือข่ายได้ โดยผู้ใช้งานสามารถ ดูภาพจากระยะไกลเพื่อใช้ในการรักษาความปลอดภัย และ เฝ้าระวัง ภายใน บ้าน สำนักงาน โรงงาน ห้างสรรพสินค้า และอื่น ๆ ได้ IP Camera มีทั้งแบบใช้สาย (Wiring) และแบบไร้สาย (Wireless)

>>> ราคากล้องวงจรปิด <<<